เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๖ พ.ค. ๒๕๖๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๖ พฤษภาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ตั้งใจฟังธรรมะนะ ตั้งใจฟังธรรม เราเป็นชาวพุทธ เราเกิดเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เรามีพื้นฐาน พื้นฐานของความเป็นชาวพุทธ พื้นฐานของความเป็นชาวพุทธ ศึกษาในพระไตรปิฎก เราจะภูมิใจขึ้นมากว่ากึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งๆ

 

คำว่า “กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง” หลวงปู่มั่นท่านพูดไว้ เวลาครูบาอาจารย์เล่าให้ฟังว่าหลวงปู่มั่นท่านพูดไว้ว่า ศาสนาจะเจริญตั้งแต่สมัยพระจอมเกล้าฯ พระจอมเกล้าฯ ท่านย้ายออกมาแล้วท่านพยายามจะฟื้นฟูของท่านๆ ฟื้นฟูของท่านแล้วท่านก็ต้องสึกไปเพื่อครองราชย์

 

สุดท้ายแล้วหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านมาค้นคว้าของท่าน เวลาท่านค้นคว้าของท่าน เราจะบอกว่า ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่งเพราะคนมีบุญมีกุศล คนที่มีบุญนะ เวลาหลวงปู่มั่นท่านบอกว่าท่านปรารถนามาเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านปรารถนาเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเหมือนกัน เวลาแม่ชีแก้ว แม่ชีแก้วท่านพูดถึงหลวงตามหาบัว ท่านเทศน์ถึงหลวงปู่มั่น ครูบาอาจารย์ ท่านพูดถึงว่าพวกนี้พวกมีบุญทั้งนั้น อดีตชาติเสวยชาติเป็นภพชาติที่ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น คำว่า “ยิ่งใหญ่ของท่านขึ้นมา” เวลาท่านเกิดมาแล้วท่านถึงมีจุดยืนของท่าน

 

พอท่านมีจุดยืนของท่าน ท่านมีความมั่นคงของท่าน ท่านพยายามค้นคว้าของท่าน ท่านทำเพื่ออะไร ท่านทำขึ้นมาให้หัวใจของท่านเป็นธรรมๆ ไง

 

ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง ศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง เจริญในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น พอเจริญในใจของหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น ท่านวางรากฐานไว้ๆ ถ้าศาสนาเจริญต้องเจริญในหัวใจของสังคม ศาสนาต้องเจริญในหัวใจของมนุษย์ ถ้ามนุษย์มีเมตตาธรรม มนุษย์มีสติมีปัญญา ศาสนามันเจริญ เจริญตรงนี้ไง

 

เวลายุคเจริญแล้วเสื่อมนะ แล้วเสื่อมแล้วเจริญนะ กว่าที่ศาสนามันจะเจริญขึ้นมาได้ เวลาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านเกิดมา ดูสิ พระจอมเกล้าฯ ท่านศึกษาพระไตรปิฎกเหมือนกัน เวลาทำทำไมมันไม่เหมือนกันล่ะ ทำไมในพระไตรปิฎกสอนอย่างหนึ่ง พฤติกรรมของพระเป็นอีกอย่างหนึ่งล่ะ เวลาครูบาอาจารย์ท่านออกประพฤติปฏิบัติของท่านมันทำไมเป็นอย่างนั้นล่ะ

 

ยุคเสื่อม ยุคเสื่อมนะ ยุคเสื่อมไม่มีใครเชื่อใดๆ ทั้งสิ้น นรกสวรรค์ไม่มี ทำสิ่งใดก็ได้ ทำตามความพอใจของตน เวลามีแต่อำนาจ เวลาแสวงหาอำนาจขึ้นมาเพื่อเหยียบย่ำทำลายกัน เพื่อฉกฉวยผลประโยชน์ต่อกัน แล้วมีผู้มีบุญมาเกิด มีผู้มีบุญมาเกิด ท่านขวนขวายของท่าน ท่านกระทำของท่าน เพราะท่านเชื่อมั่นในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไง

 

ในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันประเสริฐ มันประเสริฐที่ไหนล่ะ มันประเสริฐจากการค้นคว้า การแสวงหาไง เวลาหลวงพ่อพุทธท่านเล่าให้ฟัง เวลาท่านอุปัฏฐากหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์วิเวกไป มันมีปะขาว มันมีเณรน้อย เขาเสียดสี เขาดูถูก เขาทำลาย ในประวัติหลวงปู่มั่นน่ะ เวลาพระห่มผ้าสีดำๆ มา ว่านี่เสือเย็นๆ คิดว่าเป็นเสือสมิงไง ตื่นกลัวกันไปหมดเลย

 

สมัยโบราณ ถนนหนทางยังไม่มี พวกอยู่ป่าอยู่เขา เขาก็มีความรู้สึกนึกคิดของเขาอย่างนั้น ประเพณีวัฒนธรรมของเขา เขามีความเชื่อของเขาอย่างนั้น ถ้าเขามีความเชื่อของเขาอย่างนั้น เขาเห็นพระธุดงถ์มา เขาวิ่งหนีกันหมดเลยนะ เขาวิ่ง เขากลัวไง เพราะอะไร เพราะว่าสังคมมันเสื่อมทรามมา สังคมเสื่อมทรามมา เวลาสังคมเสื่อมทรามมา กว่ามันจะฟื้นฟูขึ้นมา มันต้องคนที่มีบุญนะ คนที่มีบุญมีกุศลมันถึงค้ำจุนขึ้นมาได้ เวลาค้ำจุนขึ้นมา ค้ำจุนด้วยอะไร ค้ำจุนด้วยพฤติกรรมของท่าน ค้ำจุนด้วยความมั่นคงในหัวใจของท่าน

 

หลวงตาเวลาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่น ท่านบอกว่า เวลาหลวงปู่มั่นท่านเล่าถึงความทุกข์ความยากของท่าน ท่านเล่าด้วยประสบการณ์ไง เล่าให้ลูกศิษย์ฟังไง หลวงตาท่านต้องเบือนหน้าหนีเข้าข้างฝานะ ร้องไห้ ร้องไห้ถึงว่า ท่านทนทุกข์ทรมานมาขนาดนี้เชียวหรือ ท่านทนทุกข์ทรมานมาขนาดนี้เชียวหรือ แต่ในปัจจุบันนี้ใครๆ ก็อ้างว่าเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่นๆ ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นแล้วทำตัวกันอย่างไร

 

นี่ไง เวลาจะฟื้นฟูขึ้นมา ฟื้นฟูด้วยพฤติกรรมของท่าน ฟื้นฟูด้วยความมั่นคงของท่าน ฟื้นฟูขึ้นมาด้วยการปฏิบัติของท่าน เวลาท่านปฏิบัติของท่านขึ้นมาแล้วท่านมีคุณธรรมในหัวใจของท่าน ท่านมีคุณธรรมในใจของท่าน นี่ไง ธรรมเหนือโลกๆ ไง ธรรมเหนือโลกหมายความว่า ท่านมีคุณธรรมของท่าน ท่านมีความสุขของท่าน

 

เวลาพูดถึงทางโลก ทางโลกถ้ามองถึงชีวิตความเป็นอยู่ของหลวงปู่มั่น อยู่ในป่าในเขามันมีอะไร มีบริขาร ๘ แล้วบิณฑบาต อยู่ในป่าในเขา อยู่ในบ้านนอกคอกนา ไม่มีการซื้อขาย ไม่มีตลาด มีอย่างใดได้อย่างนั้น ไม่มีตลาดแลกเปลี่ยนสินค้า ยังไม่มี นี่ไง ความเป็นอยู่ของท่านๆ แต่หัวใจที่ยิ่งใหญ่ของท่านที่มันมีคุณธรรมในหัวใจของท่าน ธรรมเหนือโลกๆ วิมุตติสุขๆ กลางคืนเทศน์สั่งสอนเทวดา เทวดา อินทร์ พรหม

 

นี่ไง มนุษย์คนหนึ่ง พฤติกรรมของท่าน ความเป็นอยู่ของท่านมันมีความมั่นคงขึ้นมา ถ้ามีความมั่นคงขึ้นมา คนก็เริ่มเข้ามาสนใจในการประพฤติปฏิบัติไง เวลาจะประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็กลัวเป็นกลัวตายทั้งนั้นน่ะ

 

เวลาครูบาอาจารย์ของเรา กรรมฐาน ฐานที่ตั้งแห่งการงาน งานในการรื้อค้น ค้นคว้าหากิเลสตัณหาความทะยานอยาก ชำระล้างกิเลสตัณหาความทะยานอยากในใจของตน เพื่ออะไร เพื่อความสุข ความสงบ ความระงับ เพื่อความเป็นจริงไง คุณธรรมอันยิ่งใหญ่ที่มันอยู่ในหัวใจอันนี้ไง มันเกิดมาจากไหนล่ะ เกิดมาจากศีล สมาธิ ปัญญาไง มันเกิดมาจากการกระทำ

 

ดูสิ เวลาหลวงตามหาบัวท่านก็ศึกษามาจนเป็นมหา คำว่า “เป็นมหา” ท่านก็ศึกษาบาลีมาทั้งนั้นน่ะ เวลาไปประพฤติปฏิบัติขึ้นมา หลวงปู่มั่นท่านบอกเลย มันจะเตะมันจะถีบกัน มันจะคาดมันจะหมาย มันจะหวังผล มันจะร้อยแปดไง แล้วปฏิบัติมันจะปฏิบัติยากไง แต่ด้วยวุฒิภาวะ ด้วยคุณธรรม ด้วยบารมีธรรมของหลวงปู่มั่นที่ท่านได้สร้างของท่านมาไง

 

เพราะพระมหาบัว แม่ชีแก้วท่านพูดไว้เอง ท่านเกิดตั้งแต่สมัยพุทธกาล เป็นพันธุละ เป็นอะไรน่ะ นี่แม่ชีแก้วพูดไว้ในเทปหมดน่ะ คนมีบุญขนาดนั้น มันจะเชื่อฟังใครง่ายๆ เราก็สร้างของเรามามหาศาลใช่ไหม เราก็มีอำนาจวาสนาของเรามา เราก็มีจุดยืนของเรา จุดยืนของเราที่ใครจะมาน้อมนำ ใครจะมาชักนำ ใครจะทำได้ถ้าคนคนนั้นไม่เหนือกว่า ถ้าคนคนนั้นไม่มีคุณธรรม คนคนนั้นไม่มีความยิ่งใหญ่ที่ดีกว่า นี่ไง ถ้าทำสิ่งนั้นมาๆ ประพฤติปฏิบัติมา เวลาศึกษามาๆ มันจะเตะจะถีบกัน

 

ในพระพุทธศาสนา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ปริยัติมันต้องมีการศึกษาๆ เขาศึกษามาให้ประพฤติปฏิบัติ ถ้าศึกษามา ปฏิบัติขึ้นมา ปฏิบัติแล้วมันจะมีคุณธรรมในหัวใจ ถ้ามีคุณธรรมในหัวใจ ศาสนามันเจริญ เจริญตรงนั้นน่ะ เจริญตรงที่สังคมเขายกย่องบูชา เขายอมรับนับถือไง เขานับถือด้วยคุณธรรมอันนั้นไง เขาไม่ได้นับถือด้วยเป็นประเพณีวัฒนธรรมไง

 

ในปัจจุบันนี้ก็ประเพณีวัฒนธรรมอันนั้น มันถึงเสื่อมทรามลงไปเรื่อยๆ เสื่อมทรามลงไปเรื่อยๆ จนพระจอมเกล้าฯ ท่านแยกคณะมาตั้งของท่านขึ้นมา ท่านก็ธุดงค์ ท่านก็พยายามขวนขวายของท่าน แต่มันยังไม่ถึงเวลาของท่าน เห็นไหม

 

เวลาเป็นจริงๆ ขึ้นมาในใจของครูบาอาจารย์ของเรานะ แล้วนี่มัน ๒ ชั่วอายุคนแล้ว เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะเสียชีวิตไป ท่านพูดกันนะ “หมู่คณะจำไว้นะ หมู่คณะจำไว้นะ ท่านขาวๆ หมู่คณะจำไว้นะ มหาดีทั้งนอก ดีทั้งในนะ” ยืนยันกันไว้ๆ ไง ยืนยันกันไว้เพื่อให้มีที่เกาะ ให้เป็นแนวทาง

 

เวลาหลวงปู่มั่นท่านพูด “จิตนี้แก้ยากนะ จิตนี้แก้ยากนะ ให้ประพฤติปฏิบัติมานะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ ผู้เฒ่าจะแก้ว่ะ”

 

แต่นี่มันไม่อย่างนั้นน่ะ เวลาศาสนามันเจริญไง ความเจริญ เจริญมาจากความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ ความเป็นจริงในใจของครูบาอาจารย์ของเรา ไอ้เราเข้ามาอาศัยพึ่งพิง มันอ้างไปเรื่อยแหละ

 

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูดถึงว่า เวลาหลวงปู่มั่น ความอยู่ทางโลก ถ้าความอยู่ทางโลกมันกรรมฐานไง ดูสิ เจ็บไข้ได้ป่วย เขาเจ็บไข้ได้ป่วยเข้าโรงพยาบาล หลวงปู่มั่นยิ่งเจ็บไข้ได้ป่วยยิ่งเข้าป่าลึกเข้าไป เวลาเขาป่วยแล้วเขาต้องฟื้นฟูร่างกาย หลวงปู่มั่นป่วยแล้วกินข้าวต้มกับเกลือ นี่ท่านรักษาของท่าน

 

เวลาอยู่ที่เชียงใหม่ หมอเขาบอกว่า นี่ตายแล้ว ตายแล้ว

 

หลวงปู่มั่นท่านเรียกเข้าไปถามเลย หมอว่าตายใช่ไหม ไม่ตายหรอก ยังไม่ตาย ตายไม่ได้ ไม่มีตาย กลับ แล้วท่านก็ไม่ตาย ก็ฟื้นฟูมา แต่เวลาไปที่หนองผือแล้วนะ เวลาเอายามา ไม่ต้อง เหมือนต้นไม้มันตายคาต้น ต้นไม้มันยืนต้นตายแล้ว รดน้ำพรวนดินเท่าไรมันก็ฟื้นมาไม่ได้หรอก นี่เหมือนกัน ตั้งแต่วันที่ป่วยมา เราป่วยคราวนี้คราวสุดท้าย เราจะต้องสิ้นชีวิตไป นี่ไง แล้วหลวงตาท่านก็พยายามขวนขวายของท่านๆ

 

นี้เราจะบอกว่า ถ้าศาสนามันเจริญ มันเจริญอยู่ตรงนี้ไง มันเจริญขึ้นมาจากศีล จากสมาธิ จากปัญญา จากการขวนขวายของคนไง

 

ไอ้ประเพณีวัฒนธรรมมันเจริญแล้วเสื่อมๆ มันก็เป็นของมันอยู่อย่างนี้ มันเจริญแล้วก็เสื่อม แล้วเวลามันเจริญขึ้นมา ลาภสักการะมันมีมา ชื่อเสียงเกียรติศัพท์เกียรติคุณขึ้นมา ใครๆ ก็เข้ามาเพื่อลาภสักการะอันนั้นไง เขามาเพื่ออะไร

 

แต่ถ้าเป็นสัจจะความจริง เรามาเพื่อจะชำระล้างกิเลส เรามาเพื่อการกระทำ เราบวชมาเพื่อขวนขวาย เพื่อจะเอาชนะใจของเราเอง ถ้าเราบวชมาเพื่อเอาชนะใจของเราเองนะ อะไรมันก็ได้ สิ่งใดมันก็ได้ ดูสิ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านไปไหนท่านไปคนเดียวทั้งนั้นน่ะ

 

มีตามหน้าตามหลังมันเป็นเรื่องสังคม เป็นเรื่องการประชาสัมพันธ์ทั้งนั้นน่ะ เรื่องโลก โลกเป็นใหญ่ๆ ไง เวลาบวชมาแล้วก็โลกเป็นใหญ่ไง จะไปไหนก็ต้องมีล้อมหน้าล้อมหลัง ต้องมีคนนับหน้าถือตาไง ไอ้นี่จัดตั้งได้ทั้งนั้นน่ะ นั่นน่ะของไม่จริง

 

ถ้ามันของจริงๆ เขาไปไหนไปคนเดียว เวลาในวงกรรมฐานนะ ไปแบบนอแรด แรดมีนอเดียว นี่กรรมฐานถ้าไปแล้ว มันอ้างว้างแล้ว พอก้าวออกจากวัดไป อ้างว้าง บัดนี้มีเราอยู่คนเดียว เราคนเดียวที่จะรักษาชีวิตของเรา เราคนเดียวเท่านั้นที่จะรื้อค้น ที่จะขวนขวายหาสัจจะความจริงในใจของเรา เราคนเดียวเท่านั้นที่เผชิญกับสัจจะความจริง

 

นี่ไง เวลาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ใครมาเกิดกับเรา เวลาเกิดก็เกิดมาคนเดียวทั้งนั้นน่ะ เวลาเกิดมาแล้วก็มีญาติ มีตระกูล มีพ่อ มีแม่ มีคนนับหน้าถือตา นับหน้าถือตาขึ้นมา อบอุ่น อยู่นั่นก็เหมือนกัน อู๋ย! คนนั้นช่วยเหลือ คนนี้คอยอุปัฏฐากอุปถัมถ์ โอ๋ย! คนนี้เกื้อหนุน

 

ทุกคนเขาต้องการบุญกุศลทั้งนั้น เพราะในพระพุทธศาสนา บริษัท ๔ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา อุบาสก อุบาสิกาเขาขวนขวายของเขา เขาหวังบุญกุศลของเขา บุญกุศลของเขา เราภิกขาจารมาแล้ว สิ่งที่ได้มา สิ่งนี้ฉันแล้วทำอย่างไร ฉันแล้ว นั่นน่ะพลังงานที่ได้มา ได้มาจากปัจจัยเครื่องอาศัยของเขา แล้วเราทำแล้วเราเข้าทางจงกรม นั่งสมาธิภาวนาหรือไม่ เราเป็นประโยชน์กับเขาหรือไม่ ถ้าจะเป็นประโยชน์กับเขาต้องเป็นประโยชน์กับตนก่อน รักษาใจของตนก่อน รักษาใจของตนได้ ประโยชน์ตนแล้วก็ประโยชน์ผู้อื่นไง

 

ถ้าประโยชน์ตนมันไม่มีขึ้นมา ประโยชน์คนอื่นจะได้ขึ้นมาได้อย่างไร ประโยชน์ของตน ตนยังหาประโยชน์ของตนไม่ได้ ประโยชน์ของตน ยังหาประโยชน์ของตนไม่เจอ แล้วมันจะมีประโยชน์กับคนอื่นได้อย่างไร

 

นี่ไง เนื้อนาบุญๆ ไง เนื้อนาบุญของโลก เนื้อนาบุญของโลกไง เนื้อนาบุญ เราไถ เราหว่านที่ดีแล้วมันต้องออกรวงสิ ข้าวมันต้องออกรวงที่ดีขึ้นมา นี่ก็เหมือนกัน ชาวพุทธๆ ทำบุญกับครูบาอาจารย์ ท่านเป็นอริยบุคคลทั้งนั้น ทำบุญต้องได้บุญที่ยิ่งใหญ่ ชาวพุทธๆ เราไม่เห็นเป็นเศรษฐีโลก

 

นี่ไง ยิ่งใหญ่ มันยิ่งใหญ่ บุญคือความสุขของใจ บุญคือทรัพย์สมบัติที่เป็นทิพย์สมบัติ บุญคือสติปัญญาของเรา ใครมีสติปัญญาที่มีความสุขนะ คนจนผู้ยิ่งใหญ่ จะจน จะทุกข์จนเข็ญใจขนาดนั้น แต่หัวใจมันยิ่งใหญ่ไง หัวใจมันไม่ทุกข์ไม่ยาก เห็นไหม เห็นคนจนผู้ยิ่งใหญ่ที่ไม่ทุกข์ไม่ยากแล้วมีความสุขไหม

 

ดูสิ เวลาหลวงตาท่านพูดถึงหลวงปู่มั่นไง เศษคนๆ เศษคนสอนเทวดา อินทร์ พรหมนะ เศษคนน่ะ ไอ้ปัญญาชนมันสอนใคร มันให้กิเลสครอบงำ ให้กิเลสควบคุมในใจของมัน แต่คนจนผู้ยิ่งใหญ่ รักษาหัวใจของตน อยู่ที่ไหนก็มีความสุข บุญมันอยู่ที่นี่ไง ถ้าบุญอยู่ที่นี่ นี่ไง เวลาพูดอย่างนี้ มันพูดไปแล้วมันเป็นการพูดเสียดสีโลกว่าต้องสละอย่างนั้น

 

มันมีนะ มีการกระทำ มีสำนักปฏิบัติเยอะมาก ใครอยากได้เป็นพระโสดาบัน มีทรัพย์สมบัติมากขนาดไหนต้องโอนมาเป็นส่วนกลาง โอนมาให้วัด แล้วถ้าโอนมาคืออะไร คือสักกายทิฏฐิไง ไม่ติดไม่ข้อง สอนอย่างนี้ก็มี หลายวัดมาก ถ้าใครอยากเป็นโสดาบันนะ มีทรัพย์สมบัติเป็นของส่วนตัวไม่ได้ โอนมาเป็นส่วนกลางให้หมดเลย โอ้โฮ! เขาก็โอนกันนะ เออ! คนก็เชื่อ

 

สรรพสิ่งโลกนี้มันเป็นอนิจจัง สิ่งที่เป็นวัตถุมันเป็นอนิจจัง มันแปรปรวนมาตลอดเวลา เรามองคนที่จิตใจเบา จิตใจหยาบช้า ว่าอย่างนั้นเลย จิตใจไม่มีปัญญา มองได้แค่นั้น แต่ครูบาอาจารย์ของเราท่านมองถึงจิต

 

จิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ พอจิตเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมาก็ต้องพยายามค้นคว้าหาจิตของตนให้เจอ ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต้องค้นคว้าหาจิตของตนให้เจอ แล้วผู้ปฏิบัติไม่มีจิตหรือ ผู้ปฏิบัติไม่มีหัวใจใช่ไหม ผู้ปฏิบัติไม่มีความรู้สึกใช่ไหม มันมีทั้งนั้นน่ะ แต่ด้วยสถานะของความเป็นมนุษย์ไง มีธาตุ ๔ และขันธ์ ๕ นี่ไง เพราะสถานะความเป็นมนุษย์ คนทำชั่วมันยังไม่ให้ผลมันไง เวลามันตายไปแล้ว นั่นน่ะมันไม่มีสถานะของความเป็นมนุษย์ ไม่มีสถานะของเวลา ๒๔ ชั่วโมง เวลาเกิดในนรกอเวจี เกิดเทวดา อินทร์ พรหม มันไปอีกอย่างหนึ่ง ฉะนั้น ถ้ายังค้นคว้าหาหัวใจของตนไม่เจอ มันจะทำอะไร

 

แล้วโอนสมบัติๆ สมบัติมันเป็นเรื่องโลกๆ สมบัติมันเป็นเรื่องภายนอก ไอ้กิเลสตัณหาความทะยานอยากนี่สิ นี่เขาอยากสละตรงนี้ ถ้าอยากสละตรงนี้ แล้วใครจะเป็นผู้สละล่ะ ถ้าจิตไม่เป็นผู้สละ ใครจะเป็นผู้สละ นี่คิดเอา

 

โอ๋ย! ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มรรค ๔ ผล ๔ โอ้โฮ! รู้หมดเลย รู้วิธีการทำให้เป็นพระอรหันต์ได้หมดเลย แต่ไม่ได้เป็น เพราะมันทำไม่เป็น มันทำไม่ได้ ปริยัติ ปฏิบัติ นี่ไง คันถธุระ วิปัสสนาธุระ ถ้าวิปัสสนาธุระ

 

เขาศึกษามา ศึกษามาเป็นคันถธุระ ศึกษามาเพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา สืบทอดไว้ให้คนที่ฉลาด ให้คนที่มีปัญญาค้นคว้าเพื่อประโยชน์ของเขา นี่ไง เวลาเยาวชนมาบวช มาบวชเป็นพระ บวชเป็นพระพ่อแม่ได้ ๑๖ กัป เพราะอะไร เพราะไปค้ำจุนศาสนา ไอ้ลูกเข้ามา เข้ามาสืบทอดศาสนา ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรินิพพานมา พระสงฆ์เรายังไม่ขาดช่วง ถ้าขาดช่วง ดูสิ ยุคเสื่อมๆ สมัยลังกาวงศ์ไม่มีพระ ก็สยามวงศ์นี่ไปบวชให้ ไปทำให้ เวลาสยามเสื่อม ลังกาวงศ์ จากลังกาก็มาส่งเสริมกัน นี่ตั้งแต่สมัยพุทธกาลมา พระเราสืบต่อกันมาถึงจะบวชกันมาได้ ถ้าบวชกันมาได้

 

นี่เราเอาลูกมาบวชๆ บวชนี่เพื่อค้ำจุนศาสนา พ่อแม่ได้ ๑๖ กัป ค้ำจุนศาสนา ถ้าเขาประพฤติปฏิบัติของเขา ถ้าเขาได้สัจจะความจริงของเขาขึ้นมาในหัวใจของเขา นั่นน่ะเขาจะเป็นศากบุตรด้วยความเป็นจริง

 

เวลาเขาบวชมาแล้วเป็นสมมุติสงฆ์ๆ บวชมาเป็นสมมุติค้ำจุนศาสนา ค้ำจุนศาสนาก็เหมือนสวน ของกูๆ มดแดงมันเฝ้ามะม่วง มันหวงมากเลย แต่เจ้าของสวนสอยไปหมดเลย มดแดงมันได้แต่ตอมอยู่นั่นน่ะ

 

นี่ก็เหมือนกัน ของกูๆ มาสืบทอดศาสนาๆ เราก็มาสืบทอดเป็นสมมุติสงฆ์ไง ถ้าเราปฏิบัติตามความจริง ปริยัติ ปฏิบัติ วิปัสสนาธุระ ถ้าวิปัสสนาธุระ ใครเป็นคนวิปัสสนา แล้วธุระมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้ามันหาจิตของมันไม่เจอ จิตของมันไม่ยกขึ้นสู่วิปัสสนา มันจะเป็นศีล สมาธิ ปัญญา มันจะเป็นภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากภาวนาได้อย่างไร

 

ที่มันศึกษามาๆ ความทรงจำธรรมวินัยไว้ เวลาเขาพูดถึงพุทธพจน์นะ ถูกต้อง เวลาพูดนะ อ้างอิงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ถ้าความรู้ของเราไม่มี มันก็นกแก้วนกขุนทองไง นกแก้วนกขุนทองมันพูดได้ทั้งนั้นน่ะ แต่มันไม่เข้าใจสาระความเป็นจริง มันพูดได้ทั้งนั้น มันพูดจากความจำ มันพูดจากเจ้าของสอนมัน ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็มาวิเคราะห์วิจัยกัน วิเคราะห์วิจัยกันได้แค่นั้นไง

 

แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ขึ้นมา ศาสนามีเจริญแล้วเสื่อม เสื่อมแล้วเจริญ เวลายุคเสื่อม ครูบาอาจารย์ของเรามาฟื้นฟูให้มันเจริญขึ้นมา เวลามันเจริญขึ้นมา เจริญขึ้นมาในสังคม มั่นคงในสังคม ผู้ที่เข้ามาฉกฉวย ผู้ที่เขาเข้ามาหาผลประโยชน์ของเขา ศาสนาเจริญมันก็ลาภมีสักการะ มีสิ่งที่เขาจุนเจือ เอาแค่นั้นใช่ไหม

 

แต่ความจริงๆ ของเรา ดูสิ กษัตริย์ในสมัยพุทธกาลบวชแล้ว “สุขหนอๆ” เขาทิ้งมาทั้งหมดเลย อยู่โคนไม้มีความสุขๆ ให้มันเป็นจริงขึ้นมา

 

ไอ้นี่ โทษนะ ไม่ใช่ดัดจริต อวดว่าเป็นกรรมฐาน สุขหนอๆ สุขหนออะไร เบื้องหลังจะหลอกลวงเขาอยู่นั่นน่ะ

 

นี่ไง ถ้ามันสุขให้มันสุขจริง รักษาหัวใจให้ได้จริง ถ้ามันเจริญ ให้มันเจริญที่นี่

 

กึ่งพุทธกาล เราภูมิใจกันนะ กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญอีกหนหนึ่ง แต่เราก็ภูมิใจจริงๆ นะ เราภูมิใจเพราะเรามีครูมีอาจารย์ ถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ จะสั่งสอนมาได้อย่างไร ความรู้ความเห็นเราก็ไปอย่างหนึ่ง แล้วความรู้ความเห็นของเรา เราปฏิบัติไปมันส่งออกทั้งนั้นน่ะ โดยธรรมชาติของมัน มันส่งออก มันรู้เห็นโดยกิเลสตัณหาความทะยานอยาก เพราะกิเลสมันหลอกล่อไปก่อน ให้รู้ให้เห็นอย่างนั้น แล้วก็บอกนี่เป็นธรรมๆ เป็นธรรมเพราะอะไร เป็นธรรมเพราะมันเทียบเคียงในธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันจะหลอกลวง มันจะชักจูงทำให้เสียหาย

 

เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะพลิกกลับขึ้นมา เห็นไหม เวลาคนรู้คนเห็นขึ้นมา แล้วครูบาอาจารย์บอกไม่ใช่ๆ โอ๋ย! มันโต้เถียงนะ ส่วนใหญ่แล้วพระบวชใหม่ๆ จะบอกว่าครูบาอาจารย์โง่ โอ๋ย! ไม่เคยเผชิญกับโลกเลย จะรู้ได้อย่างไร ไอ้ฉันเพิ่งมาจากโลก ฉันเก่ง แต่ไม่รู้ว่านั่นน่ะกิเลสท่วมหัว

 

เวลาครูบาอาจารย์ท่านจะสอน สอนอะไร สอนให้หักมุม ให้หันกลับ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือทวนกระแสกลับเข้าไปสู่อวิชชา อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา เพราะความไม่รู้มันโง่เง่าเต่าตุ่น คนที่ไม่รู้แล้วโง่เง่าเต่าตุ่น มันไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มันไปหยิบฉวยมา พอไปหยิบฉวยมา เหมือนคนป่ามีปืน น่ากลัวมาก คนโง่มีปืน นักเลงมีปืน เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปแสวงหาผลประโยชน์

 

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ของเราที่ดีที่เราเข้าไป ใครไปประพฤติปฏิบัติใหม่ๆ จะบอกว่า โอ๋ย! พระนี้โง่ อาจารย์เราโง่มาก อาจารย์เราไม่มีปัญญาเลย อาจารย์เราไม่มีสติปัญญานั่นน่ะ...เขาได้เข้าไปเผชิญกับอวิชชา เข้าไปเผชิญกับความไม่รู้ในใจของตน เขาพยายามจะบอกเรา เขาพยายามจะใช้อุบาย บอกตรงๆ มันจะเกิดทิฏฐิมานะ เพราะอาจารย์กูโง่ แล้วจะมาสอนกูอีก กูจะฟังได้อย่างไร กูนี้ฉลาดกว่า ทิฏฐิมันท่วมหัว

 

ครูบาอาจารย์ท่านใช้อุบายพลิกแพลงจนกว่าจิตดวงนั้น พอจิตมันสงบแล้วยกขึ้นสู่วิปัสสนา เห็นกาย เห็นเวทนา เห็นจิตตามความเป็นจริง มันฝึกหัดใช้ปัญญาของมัน มันจะเกิดภาวนามยปัญญา ปัญญาเกิดจากการภาวนา ปัญญาเกิดจากสติ เกิดจากสมาธิ เกิดจากปัญญาในปัจจุบัน ปัจจุบันขณะจิตนั้น เวลามันพิจารณาไป โอ้โฮ! โอ้โฮ! กูเองต่างหากโง่ กูนี่มันแสนโง่ กูนี่โคตรโง่ อาจารย์กูฉลาดกว่าเยอะ เพราะอาจารย์กูฉลาดกว่าเยอะไง หลวงตาเวลาท่านสำเร็จท่านถึงกราบแล้วกราบเล่า กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ได้อย่างไร รู้ได้อย่างไร เวลามันกราบ มันกราบถึงความมหัศจรรย์อันนั้นน่ะ

 

เวลากิเลสมันท่วมหัวนะ มันจะมีทิฏฐิมานะว่ามันฉลาดปราชญ์เปลื่อง วันใดมันไปเห็นกิเลสของมัน มันจะเศร้าใจว่ามันแสนโง่ แสนต่ำทราม ยังอวดว่าตัวเองฉลาด วันใดที่มันเห็นนะ มันเศร้าใจ เศร้าใจจนมันพิจารณาของมันได้ นี่ปัญญาอย่างนี้ๆ พระพุทธศาสนาเจริญ เจริญที่นี่ กึ่งพุทธกาลศาสนาจะเจริญ เจริญที่นี่ เจริญด้วยศีล ด้วยสมาธิ ด้วยปัญญา เจริญด้วยมรรคด้วยผล เจริญเข้ามาในใจครูบาอาจารย์ของเรา แล้วก็เจริญขึ้นมาในหัวใจของชาวพุทธ ชาวพุทธมีเมตตาธรรม ชาวพุทธมีน้ำใจต่อกัน ชาวพุทธสัจธรรม มีศีลธรรมในหัวใจ ศาสนาเจริญตรงนี้ ไม่ใช่เจริญที่วัตถถุ ไม่ใช่เจริญที่ยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ใช่เจริญเพราะลูกศิษย์มาก มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง ไม่ใช่ เอวัง